~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
จากหนังสือเรื่องกรรมพยากรณ์ ของ พี่ดังตฤณ
~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
“หนูมีความบกพร่องในศีลข้อไหน
หรือเราสองคนไม่เสมอกันอย่างไรบ้างหรือเปล่า
พี่ชี้เป็นจุดๆเลยได้ไหมคะ?”
“ผมถามกลับก็แล้วกัน
หนูคิดว่ามีศีลข้อไหนอยู่กับตัวบ้าง?”
“หนูยังตบยุงอยู่ ศีลข้อแรกคงขาด
หนูไม่เคยขโมยของใคร ศีลข้อสองคงผ่าน
หนูเคยคิดเลอะเทอะหาทางแย่งคู่ครองคนอื่นบ้าง
ศีลข้อสามคงพร่องแต่ยังไม่ถึงกับขาดทะลุ
หนูยังโกหกเก่งในบางสถานการณ์ ศีลข้อสี่คงขาด
หนูไม่ดื่มเหล้าเลยเพราะเกลียดรสของมันมาแต่เด็ก ศีลข้อห้าคงโอเค”
อุปการะยิ้มนิดหนึ่ง
“สรุปแล้วตามความคิดของหนู
หนูมีข้อสองกับข้อห้าอยู่กับตัว…
ผมขอบอกอย่างนี้นะ
ที่หนูไม่เคยคิดฉ้อโกง เพ่งเล็งยักยอกเอาของคนอื่นมาเป็นของตน
ก็เพราะคุณพ่อของหนูมีฐานะร่ำรวย หนูอยากได้อะไรก็ซื้อเอา
ไม่มีเหตุบังคับให้ต้องฉกฉวยของใครเขามา
แต่วันหนึ่งถ้าเกิดสถานการณ์บีบคั้นก็ไม่แน่นัก
ทำนองเดียวกับที่ปกติหนูไม่เคยคิดแย่งแฟนใคร
เพราะหนุ่ม ๆ วิ่งเข้ามาเสนอตัวกันจ้าละหวั่นอยู่แล้ว
แต่วันหนึ่งพอเจอคนที่หนูรัก หนูก็คิดแหกกฎ
ประพฤติผิดกติกาสังคมเข้าได้เหมือนกัน”
ลานดาวอึ้ง “แปลว่าแท้จริงหนูยังไม่มีศีลข้อสอง?”
“หนูแค่ยังไม่ละเมิดศีล ยังไม่เคยมีความตั้งใจเป็นพิเศษที่จะรักษาศีลข้อนี้
ไม่เคยคิดว่าเป็นตายร้ายดีอย่าฝันว่าฉันจะขโมยของ
อย่างศีลข้อห้าก็เหมือนกัน หนูว่าหนูไม่กินเหล้าเพราะเกลียดรส
นั่นก็เป็นตัวสะท้อนว่าถ้าวันหนึ่งหนูนึกครึ้ม
เลิกเกลียดรสเหล้าขึ้นมาเฉยๆ
หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่กดดันให้เอากับเขา
ก็อาจกระดกแก้วได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจ”
หญิงสาวเม้มปากแน่น
“ละเอียดอ่อนจังนะคะ แปลว่าตอนนี้หนูไม่มีศีลเป็นสมบัติติดตัวซักข้อ?”
“ถือว่าข้อสองกับข้อห้าหนูมีก็แล้วกัน
เพียงแต่มีโดยธรรมชาติ ไม่ใช่มีโดยความตั้งใจ
จึงไม่อาจเป็นเครื่องประกันความบริสุทธิ์
ว่าหนูจะมีศีลอยู่เสมอ”
“แล้วทำไงจะถือว่ามีศีลล่ะคะ?”
“ศีลคือข้อประพฤติอันดีงามที่เราตั้งใจรักษา
หากตั้งใจเว้นจากบาป ไม่ว่าฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดกาเม มุสา และเสพของเมา
คือรับเอาศีล ๕ เป็นข้อปฏิบัติตั้งแต่บัดนี้ ก็เรียกว่าเป็น ‘ผู้สมาทานศีล’
หากออกจากบ้านนี้ไปสู่โลกภายนอก เป็นตัวของตัวเอง
มีสิทธิ์คิดมีสิทธิ์เลือกอย่างเสรีโดยปราศจากใครควบคุม
เจอสิ่งล่อใจรบเร้าให้ผิดศีลก็ยังแน่วแน่เลือกที่จะไม่ทำ
อย่างนี้ค่อยนับว่าเป็น ‘ผู้รักษาศีล’…
และถึงที่สุดแล้วหากไม่อยากทำผิดศีลออกมาจากใจ
คือไม่เอาตั้งแต่อยู่ในมุ้ง เพราะมีความละอายต่อบาป
เพราะเห็นโทษภัยของความประพฤติผิดทั้ง ๕ อย่างนี้
ถึงควรได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ผู้ทรงศีล’
คือครอบครองศีลไว้เป็นสมบัติแล้วอย่างแท้จริง”
- - -
“ค่ะ แต่รายละเอียดของเหตุการณ์บางทีซับซ้อนและยากจะตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด
หนูควรทำยังไงถ้าพบเรื่องลำบากใจที่ยากจะชี้ถูกชี้ผิด?”
“ใจที่ทรงศีลจะรู้เองว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร
ขั้นแรกคือหนูควรหลีกเลี่ยงอย่างสิ้นเชิง
ถ้าใจสงสัยแม้แต่นิดเดียวว่าผิดหรือไม่ผิด ให้ถือว่าผิดไว้ก่อน
หนูเคยรักษาศีลได้สะอาดมาหลายชาติ
และผลก็คือความหมดจดสดใสของรูปร่างหน้าตาอย่างนี้แหละ
คนเราเคยสั่งสมบารมีทางศีลไว้มากๆเนี่ยนะ
เวลาต่อบารมีจะง่าย รู้สึกเป็นตัวของตัวเอง
เกิดความสุขกับการรักษาศีลโดยไม่ต้องฝืนเท่าไหร่
แล้วที่สุดก็เกิดความหยั่งรู้ขึ้นภายใน จากใจที่สะอาดเอี่ยม
ว่าทำสิ่งใดแล้วสกปรก สิ่งใดพอประนีประนอมครึ่งทางได้”
- - -
“พี่คะ ถ้าอย่างเวลายุงกัดเราบ่อยๆแล้วเรายอมมัน ไม่กำจัดมันทิ้ง
ไม่เท่ากับให้มีพาหะนำเชื้อร้ายมาหาเราหรือ?”
“เมื่อหนูทำได้ถึงระดับทรงศีล ก็จะเริ่มเห็น ‘ปาฏิหาริย์ของศีล”
ยุงจะไม่มารบกวน ถึงกวนก็ไม่กัด ถึงกัดก็ไม่ลายพร้อย
ถึงลายพร้อยก็ไม่เป็นไข้ ถึงเป็นไข้ก็ไม่ตาย
ถึงตายก็ได้ไปดีเพราะเหตุคือตั้งใจรักษาศีลยิ่งชีพ
คิดดูนะ กำลังใจยิ่งใหญ่ขนาดไหน กุศลจะยิ่งแกร่งกล้าเพียงใด
กระทั่งแม้แต่สัตว์ตัวน้อยก็ไม่ฆ่า
อย่าต้องนับว่าเป็นไปได้ที่จะคิดฆ่าสัตว์ใหญ่หรือมนุษย์
นี่เท่ากับเราปิดทางอบายไปช่องหนึ่ง
จิตเราไม่มีทางเป็นอกุศลเข้มข้นพอจะประหัตประหาร
หรือกระทั่งทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้เลย”
ลานดาวตรองแล้วคล้อยตามเช่นเคย ทางมาของบุญนั้นบางครั้งต้องวัดใจ
แลกเปลี่ยนกับเรื่องน่าฝืดฝืนบ้าง
ใช่ว่าโลกนี้ปูพรมให้เดินเก็บบุญเก็บกุศลโดยสะดวกโยธินแต่อย่างใด
“มีความจริงอยู่ข้อหนึ่ง คือเมื่อไหร่เราตั้งใจรักษาศีลให้สะอาด
จะเกิดเรื่อง เกิดเหตุการณ์ลองใจเราแทบทันที
ต้องกระอักกระอ่วนหรืออยากละเมิดศีล
ถ้าหากใจแข็งทำข้อสอบให้ผ่าน
เหตุพิสูจน์ใจจะอ่อนกำลัง กระทั่งรามือไปเอง
แทบเหมือนทั้งชีวิตไม่ต้องเฉียดไปใกล้เรื่องผิดชนิดนั้นอีก
นี่เป็นธรรมชาติที่อัศจรรย์ น่าพิศวงใจ
แล้วหนูจะรู้”
“หนูจะแข็งใจทำข้อสอบให้ผ่านค่ะ”
~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~
2 comments:
รบกวนอีกนะคับ ผมพักอะคับ เลยมาชวนคุย.
ผมงงคำจำกัดความ ของ ผู้ทรงศีล คับ. เริ่มยากอีกแล้ว. ก็คือ มันต่างจากผู้รักษาศีลยังไง.
ผมว่า ผู้รักษาศีลก็รู้นะครับ ว่าอะไรไม่ควร เขาก็น่าจะละอายด้วยตัวเขาเองได้.
รึว่า ในแง่ ที่ว่า ผู้รักษา เขายังไม่มีศีล แล้ว พยายามรักษา. แต่ ผู้ทรงศีล มีศีล โดยตัวเขาเองอยู่แล้ว. แต่ถ้า เรารักษาศีลเป็นนิจ มันก็จะซึมซับ เป็นตัวตน กลายเป็นผู้ทรงศีล. รึเปล่าคับ ไม่รู้เหมือนกัน. ผมไม่เข้าใจคงไม่เป็นไร. เพราะ ยังไง ผมก็ต้องเริ่มที่รักษาศีลก่อน.
เดี๋ยวนะ ผมจะเอาแต่ใจไปป่ะเนี้ย. ผมว่า ใช้กฎเกณฑ์นี้ มาตัดสินมันลำบากนะเนี้ย. ใช้ ผิดศีลหรือปล่าว มาตัดสินดีกว่าไหม.
ผมว่า ผิดไหมเนี้ย มันครอบรักษาศีลไหม ก็อย่างที่ อ่าน คือ ถ้าเราพยายามรักษาศีล ก็จะมีอะไรมาทดสอบเรา. ถ้าเรายังไม่ตบยุง ยังไม่ผิดศีล ก็แสดงว่า เรายังรักษาศีล. แต่ ถ้าถามว่า ถ้าเราอยากจิงๆ ผมตอบว่า อาจจะตบ. ผมว่า ชาตินี้ ผมคงเอาดีไม่ได้ เหมือนเคย.
คือ พี่เขาบอก กรณี ที่อยากจิงๆ (รักจนขาดใจ) มันเหมือน บังคับให้ตอบ ว่า เราไม่รักษาศีลอะคับ. ผมว่า ตราบใด ที่เราไม่แย่งแฟนใคร. มันก็โอนะคับ.
ผมว่า ศีลข้อสี่เนี้ย มันอาจไม่รวม แฟน นะ. เพราะ แฟนเนี้ย เป็นช่วงที่ศึกษากัน. ถ้า คนมัน "ไม่ใช่" อยู่กันไป ก็มีปัญหา หนักกว่าเดิมอีก. รึปล่าว. แต่ กรณี ที่เราต้องรับผิดชอบเขาแล้ว มันคงเข้าข่าย ผิดลูกเขาคับ. ล้อเล่นนะคับ. แฮ.
พักจิงป่ะเนี้ย.
อย่างข้อสาม ในบางกรณี ผมก็ไม่รู้ว่า คำว่า โกหก มันอยู่ตรงไหน. อย่างเรื่อง "ตั้งแต่ อาตมา มายืนอยู่ตรงนี้ อาตมา ยังไม่เห็น ใครผ่านมาเลย" อันนี้ ไม่มีคำโกหกเลย แต่ ผลเหมือนกัน เพราะ พูดไม่หมด ทำให้คนอื่น เข้าใจผิด. แต่ ถ้าพูดไป คนที่หนีมา ก็โดนเจี๊ยน อาจจะผิดข้อหนึ่ง (คือ ผมก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี ว่ามันผิดข้อหนึ่งรึเปล่า). ถ้า เปลี่ยนเป็น คนที่ไล่ เป็นตำรวจ คนที่หนีเป็นผู้ร้ายฆ่าคน. พระในเรื่อง พูดเหมือนเดิม ตามเรื่องก็ไม่โกหก แต่ มันก็ไม่ดี รึเปล่า. รึว่า มันต้องดูองค์รวม trade off to each other อยู่ที่ผลการกระทำที่เราคาดหวัง. รึว่า ผมอย่าคิดมากดี. ฮา
แต่ ผมชอบคำว่า white lie นะ or ไว้ลาย in thai.
ฮา. ขอโทดด้วย ผมพูดไปแล้ว มันไม่ดี. ความเห็นผม ไม่ค่อยตรงกับใครหรอกคับ. แต่ ผมแค่ พูด ว่าผมคิดไงนะคับ. ใครจะทำรึปล่าวเนี้ย ยังไงก็ได้. ตามหน้าที่เพื่อนอะคับ คิดว่า -_-".
ตามความเข้าใจของอ้อมนะคะ
"ผู้ทรงศีล" จะเป็นผู้สามารถรักษาศีลได้เป็นปกติแบบว่าออกมาจากใจ ว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็จะไม่ผิดศีล เพราะรู้ชัดถึงโทษภัยของการละเมิดศีล
ส่วน "ผู้รักษาศีล" เป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ บางครั้งอาจเกิดความชั่งใจขึ้นมาว่าจะทำหรือไม่ทำดี สุดท้าย ถ้าเค้าสามารถตั้งมั่นอยู่ในศีล ไม่แพ้ตามกิเลส ก็ได้ชื่อว่ารักษาศีลได้ค่ะ
หรือพูดสั้นๆก็คือ
คนที่รักษาศีลได้ตอนที่มีสิ่งยั่วยุ ก็คือผู้รักษาศีล
คนที่รักษาศีลได้แม้ไม่มีสิ่งยั่วยุ ก็คือผู้ทรงศีล
ส่วนเรื่องจีบแฟนคนอื่น แนะนำให้อ่าน link ข้างล่างนะคะ :)
--> จีบแฟนคนอื่นบาปไหม <--
ส่วนlinkนี้เกี่ยวกับเรื่องศีลข้อมุสานะคะ :)
--> อาชีพแบบนี้จะไม่โกหกได้อย่างไร? <--
Post a Comment