March 5, 2007

คำนั้นคือ..

ครั้งหนึ่งเมื่อฉันยังเป็นเด็ก
ฉันได้ยินคำสอนคำหนึ่งผ่านหูเข้ามา
ฉันฟังแล้วคิดตาม..
แล้วก็ไม่ได้คิดเฉยๆ แต่คิดแบบตีความหมายของคำไปด้วย
แปลกดี ที่พอได้ลองมานึกทบทวนความหมายของคำแล้ว
ฉันก็พบว่า คำธรรมดาที่เคยฟังผ่านทะลุหูไปเฉยๆในวันก่อนๆ
กลับกลายเป็นคำที่มีความหมายกินใจฉันมากในวันนั้น

ตอนนั้น ฉันรู้สึกชื่นชมคนที่เป็นต้นคิดคำนี้ขึ้นมาจริงๆ
เขาคงต้องเป็นคนมีน้ำใจงาม จึงสามารถคิดคำที่สื่อความหมายออกมาได้ตรงขนาดนี้..

ฉันคิดว่า นั่น เป็นครั้งแรกในชีวิต
ที่ฉันรู้สึกถึงความปรารถนาดี ชนิดที่เคยมีไว้ให้แต่ตัวเอง กำลังถูกส่งออกไปถึงคนรอบข้างด้วย
เป็นครั้งแรก ที่ฉันรู้จักที่จะคิดถึง และให้ความสำคัญกับจิตใจของคนอื่น เสมือนกับว่าเป็นจิตใจของตัวเอง
ฉันรู้สึกดี และอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก..

เมื่อคำนั้น กระตุ้นเตือนให้ทำตามแล้วรู้สึกดี
เมื่อไหร่ที่นึกขึ้นได้ ฉันก็จะคอยเตือนตัวเองให้ทำอย่างนั้นบ่อยๆ
ถึงแม้ว่าเมื่อโตขึ้น ความรู้สึกอยากเอาเข้าตัวจนไม่เห็นหัวคนอื่นดูจะโตตามตัวฉันไปด้วย
จนมีบางครั้งที่ฉันลืมคำคำนั้นไปบ้าง
แต่ฉันก็พบความจริงอีกอย่างหนึ่งคือ
อาจจะเป็นเพราะคำคำนี้เอง
ที่ในหลายๆครั้ง ได้ฉุดฉันให้หยุดคิดและนึกถึงผลที่จะไปกระทบถึงคนอื่น
ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป

คงไม่มีใครอยากทำร้ายรังแกคนอื่น แม้กระทั่งสัตว์
คงไม่มีใครอยากขโมยของใครให้เขาต้องเสียใจว่าของหาย
คงไม่มีใครอยากเป็นชู้ แย่งคนรักของใครมาเป็นของตน
คงไม่มีใครอยากโกหก หรือพูดจาเสียดแทงทำลายน้ำใจใคร
และคงไม่มีใครอยากกลายเป็นคนไร้สติที่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
ถ้าหากว่าเรารู้สึกถึงความทุกข์ที่จะเกิดแก่ใจของผู้ที่เป็นเหยื่อการกระทำของเราได้ เหมือนกับความทุกข์นั้นได้เกิดขึ้นกับใจของเราเอง
เขาเจ็บกาย ปวดใจอย่างไร เราก็รับรู้และเจ็บปวดอย่างนั้นไม่ต่างกัน
และถ้าหากว่าเรามีแก่ใจคิดตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า ถ้าเราถูกกระทำอย่างนั้นบ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร

พอจะนึกออกมั้ยคะว่าคำคำนั้นคือคำว่าอะไร :)

คำคำนั้น คือ "เอาใจเขา มาใส่ใจเรา" ค่ะ :)

หากทุกคนคิดที่จะเอาใจคนอื่น เข้ามาใส่หัวใจของตัวเองบ้าง
ไม่ใช่คิดแต่จะยัดเยียดความรู้สึกของตัวเองใส่ใจคนอื่น
โลกนี้คงจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย ว่ามั้ยคะ :)

No comments: